ConcernedApe คือชื่อของผู้พัฒนาเพียงหนึ่งเดียวของเกมปลูกผักที่ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง ณ ปัจจุบันอย่าง Stardew Valley ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกม Harvest Moon โดยถึงแม้ด้านกราฟิกจะไม่ได้ดีเลิศพอที่จะสู้กับเกมสมัยใหม่ได้ แต่ข้อด้อยเหล่านี้ก็ถูกเติมเต็มด้วยรูปแบบเกมเพลย์ต่างๆ ที่สร้างสีสันและความสนุกให้กับผู้เล่น ส่งผลให้เกมเมอร์รุ่นเล็กรุ่นใหญ่ติดกันงอมแงมถึงขั้นลืมวันลืมคืนเลยทีเดียว แต่สำหรับใครยังไม่มีเกมนี้ไว้ในครอบครอง ทางทีมงานได้นำข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาแนะนำเพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าจะใช่หรือไม่สำหรับคุณ ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย
**หมายเหตุ บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของเกม และเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน**
1. หายเหนื่อยด้วยระบบคราฟท์
เลือกคราฟท์กันเอาที่จะสบายใจ
เมื่องานปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์เริ่มล้นมือมากขึ้นจะทำอย่างไรดีล่ะ ในเมื่อเกมนี้ไม่มีเหล่าคนแคระมาช่วยงานเราเหมือนใน Harvest Moon ซะด้วย ไม่ต้องคิดมากครับ เปิดเมนูเกมขึ้นมาแล้วเลือกไปที่หน้า Craft ก็สิ้นเรื่อง ใช่แล้ว เกมนี้มีระบบคราฟท์สิ่งของโดยแต่ละชิ้นจะช่วยแบ่งเบาภาระต่างๆ ของเราได้ เช่น เครื่องฉีดน้ำที่จะอาบน้ำให้กับเหล่าพืชผักอันสุดน่ารักของเราในเช้าวันใหม่ทุกวันของเกม ไหหมักผักผลไม้ที่จะเพิ่มมูลค่าสินค้าของเราให้ได้มาตรฐานสากลพร้อมส่งออกระดับโลก (อันนี้ก็เว่อไป) หรือแม้แต่กระด้งจับปูที่หากใครอยากได้รายได้จากการตกปลาแต่ก็ดันขี้เกียจสันหลังยาว เราก็แค่เอาเจ้ากระด้งนี้ไปวางไว้ในทะเลสาบใส่เหยื่อล่อลงไป แล้วรอวันถัดไปว่าจะได้อะไร ซึ่งของคราฟท์ที่กล่าวมานั้นยังเป็นแค่น้ำจิ้ม เพราะตัวเกมจะเพิ่มสิ่งของที่คราฟท์ได้ ตามค่าความถนัดของเราต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นขยันซะตั้งแต่วันนี้จะได้สบายในภายภาคหน้า
2. การตกปลาที่ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป
หากใครที่จำกันได้ การตกปลาในเกม Harvest Moon นั้นช่างเป็นอะไรที่ง่วงเหงาหาวนอนเสียจริงๆ แม้ปลานั้นจะขายได้ราคาดีก็เถอะ แต่ถ้าให้ตกทั้งวันล่ะก็คงจะหลับคาจอยกันพอดี แต่ใน Stardew Valley ได้เพิ่มสีสันต์ให้การตกปลาที่มาในรูปแบบของมินิเกม ซึ่งเมื่อปลาติดเบ็ด ผู้เล่นจะต้องออกแรงชักเย่อกับปลา โดยเราจะต้องบังคับไม่ให้ปลาหลุดออกจากเกจที่เราควบคุมอยู่ในระยะเวลาที่เกมกำหนด ซึ่งถ้าเราอดทนกับการดิ้นสะแด่วของเจ้าปลาตัวแสบได้ เราก็จะได้มันมาครอบครอง แต่ถ้าไม่ ก็เตรียมตัวใส่เบ็ดใหม่ได้เลย (555)
3. ของชนิดเดียวกันก้ต้องอยู่ในช่องเดียวกันสิ
เก็บได้เยอะขนาดนี้ ไม่ต้องกลัวว่าช่องจะเต็มแล้วล่ะ
การเก็บของต่างๆ เข้ากระเป๋าในเกม Harvest Moon เปรียบเสมือนการออกกำลังกายสมองเบาๆ เพราะด้วยจำนวนช่องที่จำกัด (มากสุด 9 ช่องรวมของที่เราถืออยู่ในมือ) ทำให้ผู้เล่นต้องเรียงความสำคัญของการขนของเข้ากระเป๋าในแต่ละครั้ง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ปวดกบาลมากที่สุด เพราะของชนิดเดียวกันมันไม่รวมกันในช่องเดียวเนี้ยสิ ซึ่งทาง Stardew Valley เล็งเห็นความยุ่งยากต่อการเล่นในจุดนี้ ทำให้เราสามารถใส่รวมของชนิดเดียวกันได้ ถึงแม้มันจะดูไร้ความสมจริงเหมือนกระเป๋าโดเรม่อนก็เถอะ แต่การที่ต้องมาคำนวนว่าสิ่งไหนควรใส่ก่อนหรือหลังก็ดูจะเป็นอะไรที่ลำบากลำบนเกินไปเมื่อเทียบกับเวลาในเกมที่มีจำกัด
4. ความรักและมิตรภาพไม่ได้สร้างภายในวันเดียว
ถึงแม้จะเป็นแค่เกม แต่ก็ควรเห็นความสำคัญเสมือนดั่งคนจริงๆ
กรุงโรมไม่ได้สร้างภายในวันเดียวความรักก็เช่นกัน (มาเป็น Hipster เชียว) ดูเหมือนจะเป็นนัยยะกลายๆ เพราะในเกมนี้เรามอบสิ่งของให้กับผู้คนในเมืองเพื่อเพิ่มระดับความสัมพันธ์ได้อาทิตย์ละ 2 ครั้งเท่านั้น เพื่อสอนผู้เล่นให้รู้จักคำว่ามิตรภาพที่ต้องค่อยๆ สร้าง ค่อยๆต่อตาม ต่างจาก Harvest Moon ภาค Back to Nature ที่สามารถให้สิ่งของชาวเมืองได้เรื่อยๆ จนระดับความสัมพันธ์เต็ม
5. เมื่อเหมืองแร่ไม่ได้มีแค่เรา ..
การลงเหมืองขุดแร่ไปวันๆ เพียงอย่างเดียวใน Harvest Moon นั้นมันช่างดูไร้ซึ่งสีสันยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้เองเกมคลื่นลูกหลังอย่าง Stardew Valley จึงยัดโขยงเหล่ามอนสเตอร์ทั้งเล็กใหญ่ลงไปเพื่อคอยเฝ้าเหมือง ทำให้การขุดหาสมบัติของผู้เล่นจะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป แถมอาวุธที่เราใช้ต่อกรกับเหล่าศัตรูนั้นไม่ใช่จอบเขรอะดินหรือบัวรดน้ำดาดๆ แต่เป็น "ดาบ" และแน่นอนหากมีการต่อสู้ย่อมมีรางวัลปลอบใจ โดยเราจะมีโอกาสดรอปไอเทมต่างๆ จากการปราบเหล่ามอนสเตอร์ บางชิ้นก็ดี บางชิ้นไม่ดรอปก็ได้มั้ง ..
6 . มี Mod ให้ปรับแต่ง
สุขใดเล่าจะเท่า Mod เกม
นับว่าเป็นข้อที่กินขาด Harvest Moon แบบหมดข้อกังหา อาจเพราะในสมัยก่อนสิ่งที่เรียกว่า Mod หรือการปรับแต่งนั้นยังไม่สามารถทำได้ในเทุกครื่องเล่นเกม ทำให้ Stardew Valley ชนะไปโดยปริยาย แต่ไม่ได้หมายความว่า Harvest Moon จะแย่นะ เพียงแค่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน มนุษย์เราต่างก็เรียกร้องสิ่งที่เรียกว่าอิสระเสรีหนึ่งในนั้นคือการได้ Mod เกมที่ตัวเองชอบอย่างไรข้อจำกัดนั่นเอง
7.รางวัลของคนสู้ชีวิต
รถรางที่จะปลดล็อคเมื่อเคลียร์ Bundle สำเร็จ
ห้องเรือนกระจกที่ปลูกผักได้ทุกฤดูกาล
ใน Stardew Valley นั้น ได้แฝงแง่คิดเกี่ยวกับการอดทนพื่อผลตอบแทนที่คุ้มค่าไว้อยู่ซึ่ง Harvest Moon เองก็มีบทเรียนนี้เช่นกันเดียวเพียงแต่ของรางวัลอาจจะไม่ดีและคุ้มค่าเท่าเกับกมนี้ เพราะใน Stardew Valley มีสถานที่ที่เรียกว่า Community Center ซึ่งเราต้องซ่อมแซมที่แห่งนี้โดยเมื่อทำเสร็จในแต่ละขั้นนั้น เราจะได้รับงรางวัลที่ถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น ห้องเรือนกระจกที่ปลูกผักได้ทุกฤดูกาล รถเลื่อนที่เดินทางรอบหมู่บ้านได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้น ในขณะที่ Harvest Moon : Back to Nature นั้นรางวัลที่ได้ดูเหมือนจะไม่ค่อยน่าเชิญชวนให้ทำสักเท่าไหร่
8. หรือจะยอมแพ้ระบบทุนนิยม ?
ลาก่อน Community Center
เมื่อมีด้านดีก็ย่อมมีด้านสว่าง เพราะการจะปลดล็อคสิ่งของพิเศษเหล่านี้นั้นสามารถทำได้สองรูปแบบ คือแลกด้วยความมานะอุตสาหะ หรือจะยอมเป็นทาสระบบทุนนิยมด้วยการโปรยเงินซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า ซึ่งตัวเลือกนี้นั้นเปรียบเสมือนการใส่สูตรเล่น เพราะเราแทบจะไม่ลำบากอะไรใดๆ และส่งผลให้ความสนุกของตัวเกมนั้นลดลงอย่างมาก แต่สำหรับ Harvest Moon นั้น หลายสิ่งหลายอย่างในเกมก็ไม่สามารถใช้เงินซื้อได้ ซึ่งข้อนับเป็นข้อดีของแต่ละส่วนบุคคล เพราะรูปแบบการเล่นเกมของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนเล่นเพื่อฆ่าเวลา บางคนซึบซับเนื้อเรื่อง หนักที่สุดคืออยากจะเล่นแต่ไม่มีเวลา ระบบทุนนิยมใน Stardew Valley นั้นจึงถูกนำเข้ามาเพื่อซื้อเวลาให้กับผู้เล่นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมบทเรียนที่เกมได้สอนไว้ "เงินซื้อเวลาได้ แต่ย้อนเวลากลับมาไม่ได้" เพราะเมื่อคุณเลือกแล้ว ก็ต้องยอมรับในความเป็นไปที่จะเกิดขึ้นเพียงอย่างเดียว
9. ไม่มีสิ่งใดหยุดอยู่กับที่
ไหงวันนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ?
ถ้าไม่สังเกตดีก็อาจพลาดของป่าได้นะ
สำหรับใครที่จำของป่าหรือตำแหน่งผู้คนในเมืองเกม Harvest Moon ได้เป็นอย่างดี จงอย่าคิดว่า Stardew Valley จะเป็นเช่นนั้นเพราะตัวเกมได้เพิ่มบททดสอบให้คุณไปอีกขั้น โดยทุกๆ อย่างในเกมไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ จะไม่อยู่กับที่หรือมีพฤติกรรมที่ตายตัว เช่นหากเมื่อวานเราเก็บผลไม้ป่าได้จากจุดนี้ ในวันถัดไปผู้เล่นก็อาจจะไม่พบในจุดเดิมแต่อาจจะเคลื่อนย้ายไปอยู่ในละแวกถัดไป หรือแม้แต่พฤติกรรมของผู้คนในเมืองก็จะไม่ซ้ำกันในแต่ละเดือน จุดนี้เองเสมือนให้ผู้เล่นได้ใส่ใจในเนื้อเรื่องและบทสนทนาผู้คนในหมู่บ้านมากขึ้น เพราะเราจะต้องเรียนรู้พฤติกรรมของชาวเมืองใหม่ในทุกเดือน แทนที่การยืนดักรอหน้าประตูบ้าน (รู้นะว่าเคยทำกัน) เหมือนในเกม Harvest Moon
10. "รัก" ที่ไม่จำกัดเพศ
นี้อาจจะเป็นจุดเด่นที่ Harvest Moon ไม่มี ไม่สิน้อยเกมที่บนโลกนี้จะมี เพราะใน Stardew Valley นั้นเราสามารถแต่งงานกับเพศใดก็ได้ ไม่ว่าจะชายหญิง ชายชาย หรือหญิงหญิง ต่างจาก Harvest Moon Back to Nature และ Harvest Moon for Girl ที่ต้องแต่งงานกับเพศตรงข้ามเท่านั้น แต่จุดนี้เอง อาจเป็นเรื่องของยุคสมัยที่เพศทางเลือกไม่สามารถมีบทบาทใดๆ ในสังคมไม่เว้นแม้แต่โลกของเกม แต่ด้วยปัจจุบันโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น "ความรัก" จึงไร้ซึ่งข้อบังคับและกฎเกณฑ์ทางสังคมและ Stardew Valley คือหนึ่งในเกมที่ขับเคลื่อนสังคมไปในทิศทางที่ก้าวหน้าได้แม้จะเป็นแค่เกมก็ตาม